เวลาเราเห็นโรงแรมที่พักตามสถานที่ต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแบรนด์กันบ่อย ๆ เราก็มักจะสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นแบบนั้น ครั้งที่แล้วเรามาพักยังชื่อโรงแรมนี้อยู่เลย ทำไมมาคราวนี้เปลี่ยนไปอีกแล้ว หรืออีก 2 ปีถัดไปกลายเป็นอีกชื่อไปแล้ว
เรามาดูกันว่าเรื่องนี้มีเหตุและปัจจัยอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง
การบริหารจัดการโรงแรมนั้นมีได้หลากหลายแบบในด้านธุรกิจ ได้แก่
1. การทำสัญญาว่าจ้างบริหารงานแบบเต็มรูปแบบภายใต้เชน หรือที่เราเห็นตามจังหวัดต่างๆที่มีชื่อโรงแรมตั้งต้นด้วยชื่อเชน หรือชื่อแบรนด์โรงแรมในกลุ่มเชนนั้น ๆ และตามด้วยชื่อโรงแรมเดิม หรือสถานที่ตั้ง
หากกลุ่มโรงแรมนั้นมีแบรนด์โรงแรมหลายแบรนด์ การพิจารณาเข้าร่วมบริหารจัดการก็จะต้องพิจารณาในรายละเอียดของข้อกำหนดของแต่ละแบรนด์ว่า คุณลักษณะและคุณสมบัติของโรงแรมที่จะอยู่ภายใต้แบรนด์นั้นต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง เช่น จำนวนห้องพัก ขนาดห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวก เป็นต้น เพื่อที่จะได้วางตำแหน่งของสินค้าให้เหมาะกับสภาพธุรกิจและแนวโน้มในการทำธุรกิจในอนาคต ในขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในภาพรวม
การทำสัญญากันในลักษณะนี้อาจเป็นการร่วมลงทุนระหว่างเจ้าของแบรนด์ กับเจ้าของกิจการโรงแรมก็สามารถทำได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกรอบธุรกิจของเจ้าของแบรนด์ หรือกลุ่มเชนโรงแรมนั้น ๆ
2. การซื้อลิขสิทธิ์การใช้แบรนด์ โรงแรมที่พักบางแห่งมีความเชื่อมั่นในชื่อเสียงของแบรนด์โรงแรมใดโรงแรมหนึ่ง และโรงแรมนั้นก็มีการทำธุรกิจในการขายลิขสิทธิ์การใช้ตราโลโก้ของแบรนด์ ก็อาจทำสัญญาการใช้ลิขสิทธิ์ตราสัญญลักษณ์ภายใต้ข้อกำหนดบางประการตามแต่เจ้าของแบรนด์จะกำหนด
3. การว่าจ้างบริษัทรับบริหารจัดการ (Hotel Management Company) เข้ามาบริหารจัดการธุรกิจโดยไม่มีการเปลี่ยนชื่อ หรือเติมชื่อบริษัทผู้บริหารจัดการต่อจากชื่อโรงแรมเดิม หรืออาจจะมีการเติมชื่อบริษัทผู้บริหารต่อจากชื่อเดิมของโรงแรมก็แล้วแต่จะตกลงกันในทางธุรกิจ
คราวนี้มาทางฝั่งเจ้าของกิจการหรือเจ้าของโรงแรมบ้างว่าจะตัดสินใจเลือกแบบไหน โดยทั่วไปแล้ว สิ่งที่จะนำมาพิจารณาก็คือ
1. เงื่อนไขและข้อกำหนดต่างๆ ของแบรนด์นั้น ๆ บางแห่งอาจมีข้อกำหนดมากมายทั้งในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก และในด้านการให้บริการ เช่น บางแบรนด์อาจจะกำหนดว่า ถ้าเป็นโรงแรมขนาดเท่านี้ห้อง อย่างน้อยต้องมีห้องสำหรับเป็นที่เล่นของเด็ก (Children room or Children playground) และต้องมีเจ้าหน้าที่ประจำห้อง เป็นต้น
2. แผนการขายและการตลาดที่เป็นกิจกรรมหลัก ๆ ประจำปีเป็นอย่างไร และการการันตีผลประกอบการ
3. การคัดเลือกบุคคลากรและทีมงานที่จะเข้ามาบริหารจัดการ ข้อกำหนดคุณสมบัติต่าง ๆ เป็นอย่างไร
4. จำนวนทีมงานของแบรนด์ หรือกลุ่มเชนโรงแรมนั้น ๆ ที่จะดูแลโรงแรมที่รับบริหารจัดการ มีอัตราส่วนอย่างไร จะสามารถดูแลได้ทั่วถึงหรือไม่ หรือพนักงาน 1 คนของเชนโรงแรมต้องดูแลโรงแรมที่รับบริหารมากกว่า 30 โรงแรม
5. ค่าใช้จ่ายทั้งค่าใช้จ่ายประจำปี ประจำเดือน หรือค่าใช้จ่ายต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างปี ไปจนถึงวิธีการคิดค่าบริการ คิดอย่างไร ได้แก่
5.1 Management Fee คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ต่อปีบนยอดอะไร เช่น ยอดกำไรเบื้องต้น หรือยอดรายได้รวม หรือยอดอะไร
5.2 Incentive Fee มีข้อกำหนดอย่างไร จะตั้งเป้าหมายกันอย่างไร เช่น อาจมีการกำหนดว่าถ้าทำยอดอัตราการเข้าพักได้มากกว่า 75% จะมีผลตอบแทนให้เพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์นอกเหนือจากค่าบริหารจัดการทั่วไปตามข้อ 5.1
5.3 Marketing Fee ค่าบริการทางการตลาด บางบริษัทอาจมีการคิดค่าบริหารจัดการทางการตลาด เวลาที่มีการจัดกิจกรรมทางการขายและการตลาดต่อครั้ง
โดยส่วนใหญ่แล้ว เจ้าของกิจการก็มักจะพิจารณาในเรื่องค่าใช้จ่ายต่อปีที่จะเกิดขึ้น กับการการันตีผลประกอบการเป็นข้อต้น ๆ แล้วค่อยมาพิจารณาในประเด็นอื่นๆ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่อยากให้พิจารณาในเรื่องการเลือกแบรนด์โรงแรมที่จะมาบริหารกิจการของเรานั้น จริง ๆ แล้วเรื่อง แบรนด์ ก็คือการว่าด้วยเรื่องภาพลักษณ์ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องการรับรู้ของลูกค้า และกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จึงควรคำนึงถึงประเด็นนี้เป็นสำคัญด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างเราก็มีให้เห็นหลาย ๆ โรงแรมที่เมื่อเริ่มสร้างโรงแรมและบริหารกิจการด้วยตนเอง ภาพลักษณ์ของแบรนด์ ลักษณะและบุคลิกของแบรนด์เป็นไปตามที่วาดฝัน และที่ตนเองกำหนดไว้อย่างเต็มที่ แต่ต่อมาเนื่องจากทุกโรงแรมต้องใช้เวลาในการตั้งไข่ เริ่มเดิน และออกวิ่ง เจ้าของกิจการไม่สามารถรอได้ ก็รีบเรียกแบรนด์ต่างๆ เข้ามานำเสนอเงื่อนไขในการเข้ามาบริหารกิจการ และก็ตัดสินใจเลือกแบรนด์ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของโรงแรมไปเลย เช่นจากโรงแรมที่เน้นกลุ่มลูกค้าเพื่อการพักผ่อน (Pure Leisure Market) กลับไปเลือกใช้แบรนด์ที่มีชื่อเสียงและภาพลักษณ์สำหรับธุรกิจการจัดประชุมสัมนาแบบโรงแรมในเมืองใหญ่ๆ (Large City Hotel) อันนี้ก็ทำให้ชวนสงสัยมากเช่นกัน
บางเจ้าของกิจการ พอแบรนด์เริ่มเข้าบริหารจัดการได้ไม่ถึง 2 ปี ก็มีการเปลี่ยนแบรนด์อีกแล้ว บางโรงเปลี่ยนถึง 3-4 ครั้งก็มี อันนี้ก็คงต้องเข้าไปดูเหตุผลลึก ๆ ข้างในว่ามีปัญหาอะไรกัน ไม่พอใจการบริหารกันอย่างไร หรือมีการคิดค่าใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมในประเด็นไหน
อย่างที่กล่าวข้างต้น แบรนด์เป็นเรื่องภาพลักษณ์ เพราะฉนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกแบรนด์ไหนให้เข้ามาบริหารจัดการ ควรคิด พิจารณาและคุยในรายละเอียดให้ถี่ถ้วนเพื่อที่จะได้เข้าใจตรงกัน ข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ก็อ่านกันให้ละเอียดจะได้ไม่มีปัญหาเมื่อเกิดข้อพิพาทกันในภายหลัง ที่สำคัญ ควรอ่านเงื่อนไขเรื่องระยะเวลาให้ดีว่า มีการกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำไว้หรือไม่ อย่างไร และหากมีการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนด จะมีค่าปรับอย่างไร
เวลาธุรกิจมีปัญหา อย่าด่วนตัดสินใจในเรื่องต่างๆ โดยที่ไม่ได้นั่งพิจารณาถึงต้นเหตุที่แท้จริง และพยายามแก้ไขที่ต้นเหตุ อย่าแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเปลี่ยนแบรนด์ เพราะนั่นไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถาวร และที่สำคัญผลเสียที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ตกกับใคร แต่คือกิจการของเรานั่นเอง เสียทั้งเวลา และเสียทั้งเงิน
เรามาดูกันว่าเรื่องนี้มีเหตุและปัจจัยอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง
การบริหารจัดการโรงแรมนั้นมีได้หลากหลายแบบในด้านธุรกิจ ได้แก่
1. การทำสัญญาว่าจ้างบริหารงานแบบเต็มรูปแบบภายใต้เชน หรือที่เราเห็นตามจังหวัดต่างๆที่มีชื่อโรงแรมตั้งต้นด้วยชื่อเชน หรือชื่อแบรนด์โรงแรมในกลุ่มเชนนั้น ๆ และตามด้วยชื่อโรงแรมเดิม หรือสถานที่ตั้ง
หากกลุ่มโรงแรมนั้นมีแบรนด์โรงแรมหลายแบรนด์ การพิจารณาเข้าร่วมบริหารจัดการก็จะต้องพิจารณาในรายละเอียดของข้อกำหนดของแต่ละแบรนด์ว่า คุณลักษณะและคุณสมบัติของโรงแรมที่จะอยู่ภายใต้แบรนด์นั้นต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง เช่น จำนวนห้องพัก ขนาดห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวก เป็นต้น เพื่อที่จะได้วางตำแหน่งของสินค้าให้เหมาะกับสภาพธุรกิจและแนวโน้มในการทำธุรกิจในอนาคต ในขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในภาพรวม
การทำสัญญากันในลักษณะนี้อาจเป็นการร่วมลงทุนระหว่างเจ้าของแบรนด์ กับเจ้าของกิจการโรงแรมก็สามารถทำได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกรอบธุรกิจของเจ้าของแบรนด์ หรือกลุ่มเชนโรงแรมนั้น ๆ
2. การซื้อลิขสิทธิ์การใช้แบรนด์ โรงแรมที่พักบางแห่งมีความเชื่อมั่นในชื่อเสียงของแบรนด์โรงแรมใดโรงแรมหนึ่ง และโรงแรมนั้นก็มีการทำธุรกิจในการขายลิขสิทธิ์การใช้ตราโลโก้ของแบรนด์ ก็อาจทำสัญญาการใช้ลิขสิทธิ์ตราสัญญลักษณ์ภายใต้ข้อกำหนดบางประการตามแต่เจ้าของแบรนด์จะกำหนด
3. การว่าจ้างบริษัทรับบริหารจัดการ (Hotel Management Company) เข้ามาบริหารจัดการธุรกิจโดยไม่มีการเปลี่ยนชื่อ หรือเติมชื่อบริษัทผู้บริหารจัดการต่อจากชื่อโรงแรมเดิม หรืออาจจะมีการเติมชื่อบริษัทผู้บริหารต่อจากชื่อเดิมของโรงแรมก็แล้วแต่จะตกลงกันในทางธุรกิจ
คราวนี้มาทางฝั่งเจ้าของกิจการหรือเจ้าของโรงแรมบ้างว่าจะตัดสินใจเลือกแบบไหน โดยทั่วไปแล้ว สิ่งที่จะนำมาพิจารณาก็คือ
1. เงื่อนไขและข้อกำหนดต่างๆ ของแบรนด์นั้น ๆ บางแห่งอาจมีข้อกำหนดมากมายทั้งในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก และในด้านการให้บริการ เช่น บางแบรนด์อาจจะกำหนดว่า ถ้าเป็นโรงแรมขนาดเท่านี้ห้อง อย่างน้อยต้องมีห้องสำหรับเป็นที่เล่นของเด็ก (Children room or Children playground) และต้องมีเจ้าหน้าที่ประจำห้อง เป็นต้น
2. แผนการขายและการตลาดที่เป็นกิจกรรมหลัก ๆ ประจำปีเป็นอย่างไร และการการันตีผลประกอบการ
3. การคัดเลือกบุคคลากรและทีมงานที่จะเข้ามาบริหารจัดการ ข้อกำหนดคุณสมบัติต่าง ๆ เป็นอย่างไร
4. จำนวนทีมงานของแบรนด์ หรือกลุ่มเชนโรงแรมนั้น ๆ ที่จะดูแลโรงแรมที่รับบริหารจัดการ มีอัตราส่วนอย่างไร จะสามารถดูแลได้ทั่วถึงหรือไม่ หรือพนักงาน 1 คนของเชนโรงแรมต้องดูแลโรงแรมที่รับบริหารมากกว่า 30 โรงแรม
5. ค่าใช้จ่ายทั้งค่าใช้จ่ายประจำปี ประจำเดือน หรือค่าใช้จ่ายต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างปี ไปจนถึงวิธีการคิดค่าบริการ คิดอย่างไร ได้แก่
5.1 Management Fee คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ต่อปีบนยอดอะไร เช่น ยอดกำไรเบื้องต้น หรือยอดรายได้รวม หรือยอดอะไร
5.2 Incentive Fee มีข้อกำหนดอย่างไร จะตั้งเป้าหมายกันอย่างไร เช่น อาจมีการกำหนดว่าถ้าทำยอดอัตราการเข้าพักได้มากกว่า 75% จะมีผลตอบแทนให้เพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์นอกเหนือจากค่าบริหารจัดการทั่วไปตามข้อ 5.1
5.3 Marketing Fee ค่าบริการทางการตลาด บางบริษัทอาจมีการคิดค่าบริหารจัดการทางการตลาด เวลาที่มีการจัดกิจกรรมทางการขายและการตลาดต่อครั้ง
โดยส่วนใหญ่แล้ว เจ้าของกิจการก็มักจะพิจารณาในเรื่องค่าใช้จ่ายต่อปีที่จะเกิดขึ้น กับการการันตีผลประกอบการเป็นข้อต้น ๆ แล้วค่อยมาพิจารณาในประเด็นอื่นๆ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่อยากให้พิจารณาในเรื่องการเลือกแบรนด์โรงแรมที่จะมาบริหารกิจการของเรานั้น จริง ๆ แล้วเรื่อง แบรนด์ ก็คือการว่าด้วยเรื่องภาพลักษณ์ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องการรับรู้ของลูกค้า และกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จึงควรคำนึงถึงประเด็นนี้เป็นสำคัญด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างเราก็มีให้เห็นหลาย ๆ โรงแรมที่เมื่อเริ่มสร้างโรงแรมและบริหารกิจการด้วยตนเอง ภาพลักษณ์ของแบรนด์ ลักษณะและบุคลิกของแบรนด์เป็นไปตามที่วาดฝัน และที่ตนเองกำหนดไว้อย่างเต็มที่ แต่ต่อมาเนื่องจากทุกโรงแรมต้องใช้เวลาในการตั้งไข่ เริ่มเดิน และออกวิ่ง เจ้าของกิจการไม่สามารถรอได้ ก็รีบเรียกแบรนด์ต่างๆ เข้ามานำเสนอเงื่อนไขในการเข้ามาบริหารกิจการ และก็ตัดสินใจเลือกแบรนด์ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของโรงแรมไปเลย เช่นจากโรงแรมที่เน้นกลุ่มลูกค้าเพื่อการพักผ่อน (Pure Leisure Market) กลับไปเลือกใช้แบรนด์ที่มีชื่อเสียงและภาพลักษณ์สำหรับธุรกิจการจัดประชุมสัมนาแบบโรงแรมในเมืองใหญ่ๆ (Large City Hotel) อันนี้ก็ทำให้ชวนสงสัยมากเช่นกัน
บางเจ้าของกิจการ พอแบรนด์เริ่มเข้าบริหารจัดการได้ไม่ถึง 2 ปี ก็มีการเปลี่ยนแบรนด์อีกแล้ว บางโรงเปลี่ยนถึง 3-4 ครั้งก็มี อันนี้ก็คงต้องเข้าไปดูเหตุผลลึก ๆ ข้างในว่ามีปัญหาอะไรกัน ไม่พอใจการบริหารกันอย่างไร หรือมีการคิดค่าใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมในประเด็นไหน
อย่างที่กล่าวข้างต้น แบรนด์เป็นเรื่องภาพลักษณ์ เพราะฉนั้นก่อนที่จะตัดสินใจเลือกแบรนด์ไหนให้เข้ามาบริหารจัดการ ควรคิด พิจารณาและคุยในรายละเอียดให้ถี่ถ้วนเพื่อที่จะได้เข้าใจตรงกัน ข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ก็อ่านกันให้ละเอียดจะได้ไม่มีปัญหาเมื่อเกิดข้อพิพาทกันในภายหลัง ที่สำคัญ ควรอ่านเงื่อนไขเรื่องระยะเวลาให้ดีว่า มีการกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำไว้หรือไม่ อย่างไร และหากมีการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนด จะมีค่าปรับอย่างไร
เวลาธุรกิจมีปัญหา อย่าด่วนตัดสินใจในเรื่องต่างๆ โดยที่ไม่ได้นั่งพิจารณาถึงต้นเหตุที่แท้จริง และพยายามแก้ไขที่ต้นเหตุ อย่าแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเปลี่ยนแบรนด์ เพราะนั่นไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถาวร และที่สำคัญผลเสียที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ตกกับใคร แต่คือกิจการของเรานั่นเอง เสียทั้งเวลา และเสียทั้งเงิน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น